Modules

 

IPv6 ย่อมาจาก “Internet Protocol Version 6? ซึ่งจะเป็น Internet protocol รุ่นต่อไป  เพื่อที่จะนำมาใช้แทน Internet Protocol รุ่นปัจจุบันคือ IP Version 4 (“IPv4?)

IPv6 (Internet Protocol version 6) เป็นเวอร์ชันล่าสุดของ Internet Protocol และได้รวมผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุน IP มาเป็นส่วนหนึ่งด้วย รวมถึงระบบปฏิบัติการหลัก IPv6 ได้รับการเรียกว่า “IPng” (IP Next Generation) โดยปกติ IPv6 เป็นกลุ่มของข้อกำหนดจาก Internet Engineering Task Force (IETF) โดย IPv6 ได้รับการออกแบบให้ปฏิรูปกลุ่มของการปรับปรุง IP เวอร์ชัน 4 โดย host ของเครือข่ายและ node แบบ intermediate ซึ่ง IPv4 หรือ IPv6 สามารถดูแลแพ็คเกตของ IP เวอร์ชันอื่น ผู้ใช้และผู้ให้บริการสามารถปรับรุ่นเป็น IPv6 โดยอิสระ

การปรับปรุงที่ชัดเจนของ IPv6 คือความยาวของ IP address เปลี่ยนจาก 32 เป็น 128 การขยายดังกล่าวเพื่อรองรับการขยายของอินเตอร์เน็ต และเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดแคลนของตำแหน่งเครือข่าย

IP v6 ได้กำหนดกฎในการระบุตำแหน่งเป็น 3 ประเภทคือ unicast (host เดี่ยวไปยัง host เดี่ยวอื่น ๆ) anycast (host เดี่ยวไปยัง host หลายตัวที่ใกล้ที่สุด) multicast (host เดี่ยวไปยัง host หลายตัว) ส่วนเพิ่มที่พิเศษของ IPv6 คือ
– ตัวเลือกในการระบุส่วนขยายของส่วนหัว ได้รับการตรวจสอบเฉพาะจุดหมาย ดังนั้นความเร็วของระบบเครือข่ายสูงขึ้น
– ตำแหน่ง anycast ทำให้มีความเป็นไปได้ของการส่งข้อความไปยังหลาย ๆ gateway ที่ใกล้ที่สุดด้วยแนวคิดว่าให้บุคคลใด ๆ บริหารการส่งแพ็คเกตไปยังบุคคลอื่น anycast สามารถใช้ในการปรับปรุงตาราง routing ตลอดเส้นทาง
– แพ็คเกตได้รับการระบุให้มีการไหลชนิดพิเศษได้ ทำให้แพ็คเกตที่เป็นส่วนของมัลติมีเดียที่ต้องการ นำเสนอแบบ real time สามารถมีคุณภาพการให้บริการที่สูง
– ส่วนหัวของ IPv6 รวมถึงส่วนขยายยินยอมให้แพ็คเกตระบุกลไกแหล่งต้นทาง สำหรับการรวมข้อมูล และรักษาความลับ

 

IPv6 จะถูกเริ่มใช้ที่ไหนก่อน

การนำ IPv6 มาใช้ ควรจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการปรับเปลี่ยนอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลจะส่งผลกระทบต่อเครือข่าย
ทั่วโลกที่เชื่อมต่อกันอยู่ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนไปสู่เครือข่าย IPv6 ล้วน อาจใช้ระยะเวลาเป็นปี เพราะเหตุนี้ ทาง IETF จึงเสนอทางออก
เพื่อช่วยในการทำงานร่วมกันระหว่าง IPv4 และ IPv6 ในระหว่างที่เครือข่ายบางแห่งเริ่มมีการปรับเปลี่ยน

ในช่วงแรก การใช้งาน IPv6 อาจอยู่ในวงแคบ ดังนั้นเราต้องการเทคนิคเพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายที่เป็น IPv6 เข้ากับเครือข่าย IPv4
หรือเครือข่าย IPv6 อื่น เทคนิคการทำงานร่วมกันระหว่าง IPv4 และ IPv6 แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ

1. การทำ dual stack—เป็นวิธีพื้นฐานที่สุด ทำงานโดยใช้ IP stack สองอันคือ IPv4 stack และ IPv6 stack ทำงานควบคู่กัน เมื่อ
ใดที่แอพพลิเคชั่นที่ใช้เป็น IPv4 ข้อมูลแพ็กเก็ตก็จะถูกส่งออกผ่านทาง IPv4 stack เมื่อใดที่แอพพลิเคชั่นที่ใช้เป็น IPv6 ข้อมูลแพ็ก
เก็ตก็จะถูกส่งออกผ่านทาง IPv6 stack การทำ dual stack เป็นทางออกที่ง่ายที่สุดแต่ไม่ใช่ long term solution เนื่องจากยังจำเป็น
ต้องใช้ IPv4 address ที่โฮสต์หรือเร้าท์เตอร์ที่ใช้ dual stack นั้น
2. การทำ tunneling—เป็นอีกวิธีที่ใช้กันแพร่หลายเพราะเหมาะสมกับการสื่อสารระหว่างเครือข่าย IPv6 ผ่านเครือข่าย IPv4 การ
ส่งข้อมูลทำได้โดยการ encapsulate IPv6 packet ภายใน IPv4 packet ที่ tunneling gateway ก่อนออกไปยังเครือข่าย IPv4 ที่
ปลายทาง ก่อนเข้าไปสู่เครือข่าย IPv6 ก็จะต้องผ่าน tunneling gateway อีกตัวซึ่งทำหน้าที่ decapsulate IPv6 packet และส่งต่อไป
ยังจุดหมายปลายทาง จะเห็นได้ว่าการทำ tunneling นี้จะใช้ไม่ได้สำหรับการสื่อสารโดยตรงระหว่างเครื่องในเครือข่าย IPv6 และ
เครื่องในเครือข่าย IPv4
3. การทำ translation—การทำ translation จะช่วยในการสื่อสารระหว่างเครือข่าย IPv6 และ IPv4 เทคนิคการทำ translation
มีสองแบบ แบบแรกคือการแปลที่ end host โดยเพิ่ม translator function เข้าไปใน protocol stack โดยอาจอยู่ที่ network layer,
TCP layer, หรือ socket layer ก็ได้ แบบที่สองคือการแปลที่ network device โดยจะต้องใช้ gateway ทำหน้าที่เป็น IPv6-IPv4
และ IPv4-IPv6 translator อยู่ที่ทางออกที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย IPv6 และ IPv4

ทั้งนี้หลังจากการปรับเปลี่ยนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อเครือข่ายต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เป็น IPv6 ทั้งหมด เราสามารถทำการสื่อสาร
โดยใช้โพรโตคอล IPv6 โดยตรง ซึ่งเราเรียกการสื่อสารลักษณะนี้ว่า native IPv6 network

 

ทำไมหมายเลข IPv6 address จึงมีความยาวแตกต่างกัน

หมายเลข IPv6 มี 128 บิต ประกอบไปด้วย กลุ่มตัวเลข 8 กลุ่มเขียนขั้นด้วยเครื่องหมาย “:” โดยแต่ละกลุ่มคือเลขฐาน 16 จำนวน 4
ตัว (16 บิต) เช่น

3fee:085b:1f1f:0000:0000:0000:00a9:1234
0000:0000:0000:0000:0000:0000:0000:0001
fec0:0000:0000:0000:0200:3cff:fec6:172e
2001:0000:0000:34fe:0000:0000:00ff:0321

ทั้งนี้สามารถเขียนย่อได้ โดยมีเงื่อนไขคือ
1. หากมีเลขศูนย์ด้านหน้าของกลุ่มใด สามารถจะละไว้ได้
2. หากกลุ่มใดเป็นเลขศูนย์ทั้ง 4 ตัว (0000) สามารถเขียนแทนด้วย “0”
3. หากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (หรือหลายกลุ่มที่ตำแหน่งติดกัน) เป็นเลขศูนย์ทั้งหมด สามารถจะละไว้ได้ โดยใช้เครื่องหมาย “::” แต่จะ
สามารถทำลักษณะนี้ได้ในตำแหน่งเดียวเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

หากใช้สองเงื่อนไขแรก เราสามารถเขียนหมายเลข IPv6 ข้างต้นได้ดังนี้

3fee:085b:1f1f:0:0:0:a9:1234
0:0:0:0:0:0:0:1
fec0:0:0:0:200:3cff:fec6:172e
2001:0:0:34fe:0:0:ff:321

หากใช้เงื่อนไขที่สาม เราสามารถเขียนหมายเลข IPv6 ข้างต้นได้ดังนี้

3fee:085b:1f1f::a9:1234
::1
fec0::200:3cff:fec6:172e
2001::34fe:0:0:ff:321

จะเห็นได้ว่าเราสามารถเขียนหมายเลข IPv6 ได้หลายวิธี โดยแต่ละวิธี มีความยาวแตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งหมายเลข IPv6 อาจมี
หมายเลข IPv4 แทรกอยู่ ในกรณีนี้ เราสามารถเขียนในลักษณะที่คงสภาพหมายเลข IPv4 อยู่ได้ เช่น

0:0:0:0:0:0:192.168.1.1
0:0:0:0:0:ffff:192.168.1.1

สามารถเขียนย่อได้เป็น

::192.168.1.1
::ffff:192.168.1.1

สถานการณ์ในประเทศไทย

ในส่วนสถานการณ์ในประเทศไทย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) นับว่าเป็นผู้นำในการให้บริการเชื่อมต่อเครือข่าย IPv6 กับต่างประเทศผ่านการทำ IPv6-over-IPv4 tunnel และการทำ 6to4 relay นอกจากนี้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติยังได้รับความร่วมมือจากหลายมหาวิทยาลัยและบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดเครือข่าย IPv6 เพื่อการทดสอบภายในประเทศ (Thailand IPv6 Testbed) ซึ่งมีการเชื่อมต่อด้วยเทคนิคที่หลากหลาย  ขณะนี้มีบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที ่ได้ทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ าย IPv6 ทั้งในและนอกประเทศแล้ว 6

บริษัท คือ CAT, AsiaInfonet, CS-Loxinfo, JI-Net, Samart และ Internet Thailand

ในปัจจุบันได้มีการก่อตั้งคณะทำงานระดับประเทศขึ้นภายใต้ชื่อ Thailand IPv6 Forum หรือ โครงการความร่วมมือพัฒนาและส่งเสริมการใช้เครือข่าย IPv6 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิจัย ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่าย Hardware และ Software ระบบเครือข่าย ซึ่งกิจกรรมในปัจจุบันของ Thailand IPv6 Forum ได้แก่ การเข้ าร่วมเป็นสมาชิกของ Asia-Pacific IPv6 Task Force และการเชื่อมต่อแบบ Native IPv6 ภายในประเทศระหว่าง 3 องค์กรหลัก คือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ, บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  ซึ่งเหล่านี้นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวในการตอบรับการนำ IPv6 มาใช้ในประเทศไทย

 

ที่มา : https://suraban.wordpress.com/2011/04/27/ipv6-คืออะไร

 

               โครงการพัฒนาระบบกลุ่มคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงเพื่อการประมวลผลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (Suranaree University of Technology - High Performance Computing Cluster : SUT-HPCC) เป็นการนำเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องมาต่อรวมกัน แล้วใช้ซอฟต์แวร์ควบคุมระบบให้ทำงานร่วมกันได้ จากการศึกษาพบว่าระบบนี้มีความสามารถในการประมวลผลสูงเทียบเท่ากับซูเปอร์ คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) แต่มีราคาที่ต่ำกว่ามาก เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการสร้างระบบกลุ่มนี้มีวางจำหน่ายทั่วไป   

รายละเอียดเว็บไซต์  http://hpcc.sut.ac.th

 

               นอกจากนั้นระบบปฏิบัติการที่ใช้ยังเป็นระบบเปิด (Open sources) เรียกว่า ลีนุกซ์ (Linux) ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ระบบกลุ่มคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงนี้ออกแบบมาเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาขนาดใหญ่ และซับซ้อน ที่ต้องการประมวลผลด้วยความเร็วสูง โดยสามารถจำแนกประเภทของปัญหาได้เป็น 2 แบบ คือ

    1. Large scale computing job (การคำนวณขนาดใหญ่)
    2. Large number of medium scale computing jobs (การคำนวณขนาดกลาง แต่มีจำนวนมาก)

ซึ่งปัญหาทั้ง 2 แบบนี้ หากใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ธรรมดาเพียงเครื่องเดียวอาจต้องใช้เวลาในการประมวล ผลนานมาก และทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถที่จะแข่งขันกับนักวิจัยในสาขาเดียวกันของสถาบัน อื่นๆ ได้ โดยกลุ่มวิจัยในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีที่จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้ ประกอบไปด้วยกลุ่มต่างๆ ดังเช่นกลุ่มต่อไปนี้

กลุ่มวิทยาศาสตร์กายภาพ และคณิตศาสตร์ เช่น 

    • สาขาวิชาคณิตศาสตร์
    • สาขาวิชาเทคโนโลยีเลเซอร์
    • สาขาวิชาเคมีเชิงฟิสิกส์

เป็นต้น

กลุ่มวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เช่น

    • สาขาวิชาชีวเคมี

เป็นต้น

กลุ่มวิทยาศาสตร์ประยุกต์ และวิศวกรรมศาสตร์ เช่น

    • สาขาวิชาการรับรู้ระยะไกล
    • สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล
    • สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
    • สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา
    • สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า

กลุ่มเทคโนโลยีสังคม เช่น

    • สาขาวิชาวิทยาการสารสนเทศ

เป็นต้น

กลุ่มแพทยศาสตร์

กลุ่มเทคโนโลยีการเกษตร

เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ดังกล่าว และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรวมบริการ ประสานภารกิจ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ทางศูนย์คอมพิวเตอร์จึงได้จัดตั้งโครงการพัฒนาระบบกลุ่มคอมพิวเตอร์สมรรถนะ สูงเพื่อการประมวลผลขึ้นมา เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มศักยภาพทางด้านการประมวลผลให้กับมหาวิทยาลัย โดยมุ่งเน้น สนับสนุนงานวิจัยทางด้านการคำนวณเชิงตัวเลข และผลักดันให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีก้าวไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ที่ความสามารถในการประมวลผลของระบบอยู่ที่อย่างน้อย 1 TeraFLOPS

ปัจจุบันนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีมีระบบกริดและคอมพิวโหนด (Computenode) จำนวน 10 หน่วยการประมวลผล โดยได้รับมอบจากศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้เล็งเห็นความต้องการของงานวิจัย ที่ต้องการการประมวลผลที่สูงกว่าระบบที่มีอยู่ จึงได้จัดหากลุ่มคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง เพื่อใช้งานจำนวน 32 หน่วยการประมวลผล

ข้อมูลของเครื่องที่ให้บริการ (Specification of HPCC)

    • ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงจากศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ จำนวน 10 หน่วยประมวลผล เป็นระบบกริดคอมพิวติ้งโหนด
    • ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีจัดหาเพิ่มเติม จำนวน 32 หน่วยประมวลผล

 

Software / Compiler ที่ให้บริการ

ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงในปัจจุบันมี Software สำหรับใช้ในการทำงาน โดยแยกเป็นดังนี้

Access control Software

    • OpenSSH
    • Putty
    • Winscp

Compiler Software

    • Intel Fortran Compiler ได้แก่ ifort
    • Intel C, C++ Compiler ได้แก่ icc, icpc
    • GNU Compiler ได้แก่ gcc, g++, f77

Software สำหรับ Cluster

    • mpich
    • openmpi

Editor

    • vi
    • emacs

 

การลงทะเบียบขอรับบริการ (Online)

 

บริการสำหรับ

    • บุคลากร (Staff)
    • นักศึกษา (Student) สงวนสิทธิ์สำหรับ ป.โท และ ป.เอก

 

ติดต่อสอบถามขอคำปรึกษา

    • 4802 - 08 ฝ่ายเครือข่ายคอมพิวเตอร์

 

บริการ Certificate สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายประเภท Web server

 

                  ศูนย์คอมพิวเตอร์ ได้จัดทำระบบ SSL Certificate ซึ่งรองรับความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็น SSL ภายใต้ชื่อโดเมน *.sut.ac.th ไม่จำกัดประเภท Web Server
(*ไม่รองรับการทำ Multiple Level of Sub Domain เช่น  ไม่รองรับ www.test.sut.ac.th / รองรับ http://test.sut.ac.th )   เพื่อยืนยันการมีตัวตนของเว็บไซต์ และเพื่อเป็นการยืนยันความสมบูรณ์ด้วยการเข้ารหัสข้อมูล ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ที่เหมาะสมกับการขอใช้บริการ SSL Certificate ได้แก่ Mail server, Web server ที่มีการทำธุรกรรมทางการเงิน, ข้อมูลทะเบียนนักศึกษา เป็นต้น

                   

                  ดังนั้นหากหน่วยงานภายใน มีความต้องการขอใบรับรอง certificate สำหรับติดตั้งบน web server ของท่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ สามารถลงทะเบียนขอ Certificate ได้ตามแบบฟอร์มขอรับบริการ Certificate และส่งแบบฟอร์มมายังศูนย์คอมพิวเตอร์ เพื่อทำการออก certificate ให้เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายของท่านต่อไป

 

 

ดาว์นโหลดแบบฟอร์ม

-แบบฟอร์มลงทะเบียนขอใช้ใบรับรอง Certificate สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย

 

 

 

 (หลังจากส่งแบบฟอร์มให้ศูนย์คอมพิวเตอร์แล้ว)

ศูนย์คอมพิวเตอร์ได้ export Certificate จาก server หลักที่ได้จาก Digicert มาเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านนำ certificate จาก server หลักนี้ import เข้าสู่ web server ของท่าน ตามแต่ละชนิด ให้ถูกตามประเภทของ web server 

โดยใบรับรอง certificate ใหม่นี้ จะหมดอายุลงในวันที่ 26 พฤษภาคม 2567

วิธีการ import Certificate


1. นำ certificate ไฟล์ ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ส่งให้  Import เข้าสู่ server

       1.1 วิธีการ Import SSL เข้าสู่ windows server https://support.netway.co.th/hc/th/articles/115005274068 (ใช้งานควบคู่กับ private key ที่ท่านได้รับจากศูนย์คอมพิวเตอร์)

        1.2 วิธีการ import SSL Certificate สำหรับ linux webserver

                  - linux ubuntu : http://its.sut.ac.th/certificate_ccs/document/Install_SSL_ubuntu.pdf

                  - linux centos : http://its.sut.ac.th/certificate_ccs/document/Install_SSL_Centos.pdf

2.3 การ import SSL สู่ server ประเภทอื่น ๆ อาจต้องค้นจาก google




 

 

  

เข้าใช้บริการ

 

คู่มือการใช้งาน

 

ติดต่อสอบถามขอคำปรึกษา

    • 4804, 4786 ฝ่ายเครือข่ายคอมพิวเตอร์

Subcategories

These modules display information from components other than content and user. These include weblinks, news feeds and the media manager.

Utility modules provide useful functionality such as search, syndication, and statistics.

Power by : NetWork Division Team, The Center for Computer Services.